“ท่าอุเทนเมืองธรรมมะ พระธาตุสูงงาม แม่น้ำสองสี ไดโนเสาร์ล้านปี ประเพณีไทญ้อ”
ชาวเมืองท่าอุเทน เดิมมีถิ่นฐานอยู่ที่เมืองหงสาวดี แขวงไชยบุรี ดินแดนลาว ในปัจจุบัน
พ.ศ.2531 หัวหน้าชาวไทญ้อ ชื่อ ท้าวหม้อและภรรยาชื่อ นางสุนันทา ได้รวบรวม ผู้คนมาสร้างเมืองใหม่ ชื่อเมือง “ไชยฤทธิ์อุตตบุรี” (ปัจจุบันคือตำบลไชยบุรี อำเภอท่าอุเทน) เจ้าผู้ครองนครเวียงจันทร์ได้ตั้งให้ท้าวหม้อเป็นพระยาหงษาสาวดี และท้าวเล็กน้องชาบท้าวหม้อเมื่ออุปฮาดวังหน้า ท้าวหม้อมีบุตรชายคนโตชื่อท้าวโสม
พ.ศ.2357 ได้สร้างวัดศรีสุนันทามหาอาราม ต่อมาเรียกว่า วัดไตรภูมิ ชึ่งได้พบแผ่นศิลาจารึกในวัดนี้ แปลออกมาได้ความว่า “พระศาสนาพุทธเจ้าล่วงลับไปแล้ว 2357 พรรษา พระเจ้าหงสาวดี ทั้งสองพี่น้องได้มาตั้งเมืองใหม่ที่นี่ให้ชื่อว่า “ไชยสุทธิ์อุตตบุรี”ในปีจอ ฉศก ตรงกับ ปีกาบเล็ด ในเดือน 4 แรม 1 ค่ำ วันอังคาร ภายนอกมีอาญาเจ้าวังหน้าเสนาอำมาตย์สิบร้อยน้อยใหญ่ ภายในมีเจ้าครูพุทธา และเจ้าชาดาวแก้ว เจ้าซาบา เจ้าซาสา เจ้าสีธัมมา เจ้าสมเด็จพพุทธา และพระสงฆ์สามเณรทุกพระองค์พร้อมกันมักใคร่ ตั้งใจไว้ยังพุทธศาสนา จึงให้นามวัดนี้ว่า ” วัดศรีสุนันทามหาอาราม” ตามพุทธบัญญัติสมเด็จพระพุทธองค์เจ้า ซึ่งมีติคตั้งไว้ในพระพุทธศาสนา สำเร็จในปีกดสี เดือน 5 เพ็ญวันจันทร์ มื้อฮวงมด ขอให้ตามคำมักคำปรารถนาแห่งฝูงเข้าทั้งหลายเทอญ
พ.ศ. 2369 เจ้าอนุวงศ์เป็นขบถต่อกรุงเทพฯ ได้กวาดต้อนผู้คนไปอยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ตั้งเมืองขึ้นใหม่ชื่อ เมืองหลวงปุเลง หรือ ปุงเลิง ทั้งเมือง”ไชยสิทธิ์อุตตบุรี” เป็นเมืองร้าง ต่อมาได้สวามิภักดิ์ต่อเจ้าแผ่นดินญวนคือ เจ้าฟ้าสามกวนหลวง จึงแต่งตั้งให้ท้าวพระปทุมเป็นเจ้าเมืองปุงเลงแทน และให้ท้าวจารย์ญาเป็นอุปฮาด ท้าวจันทร์ศรีสุราช (โสม) เป็นราชวงค์ และท้าวปุเป็นราชบุตร
พ.ศ.2373 พระยาบดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนี) แม่ทัพไทยยกทัพมาปราบขบถเจ้าอนุวงศ์ ให้พระยาวิชิตสงครามตั้งทัพอยู่ที่เมืองนครพนม ให้ราชวงศ์ (แสน) จากเมืองเขมราช ท้าวขัตติยะ กรมการเมืองอุบลราชธานี และท้าวสีลา คุมไพร่พลไปตั้งอยู่ที่เมือง”ไชยสุทธิ์อุตตบุรี” ซึ่งเป็นเมืองร้าง เมื่อปราบขบถจนราบคาบแล้ว เจ้าพระยาบดินทร์เดชา จึงได้ขอปูนบำเหน็จให้ราชวงศ์(แสน) เป็นพระยาไชยราชวงษา ครองเมือง ไชยบุรี “เมืองสุทธิ์อุตตบุรี”
พ.ศ.2376 พระยามหาอำมาตย์ (ป้อม อมาตยกุล) เป็นแม่ทัพอยู่ ณ เมืองนครพนมอีกครั้งหนึ่ง ได้กวาดต้อนผู้คนทางฝั่งซ้าย แม่น้ำโขง อันมีกลุ่มชาติพันธ์ต่าง ๆ เช่น ผู้ไท,ข่า,โซ่ ,กะเลิง,แสก,หญ้อ,และโย้ย ให้มาตั้งถิ่นฐานทางฝั่งขวาแม่น้ำโขง เพื่อมิให้เป็นกำลังแก่เจ้าอนุวงศ์ และญวน และได้เกลี้ยกล่อมชาวเมืองหลวงปุเลง ซึ่งเป็นไทญ้อให้กลับมาด้วย โดยมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านท่าอุเทนร้างริมฝั่งขวาแม่น้ำโขงเป็นที่ตั้งเมืองใหม่ ซึ่งตรงกับสมัยราชการที่ 3 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ท้าวพระปทุม เจ้าเมืองปุงเลงเป็นพระศรีวรสาร เจ้าเมืองท่าอุเทนคนแรก ตั้นตระกูลกิติศรีวรพันธุ์
พ.ศ.2409 พระศรีวรราช (ท้าวพระปทุม) ถึงแก่กรรมลง
พ.ศ.2411 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้งให้พระจำเริญพลรบ (เจ้าดวงจันทร์) เป็นพระศรีวรราชคนต่อไป อยู่ได้อีก 1 ปี จึงกราบถวายบังคับทูลลาออกจากราชการ เนื่องจากมีความผิดหลายเรื่อง
พ.ศ.2413 ในสมัยรัชกาล 5 ได้โปรดเกล้าแต่งตั้งให้ราชบุตร (พราหม) เป็นพระศรีวรราชเจ้าเมืองท่าอุเทน อยู่ได้ 4 ปี ก็ถึงแก่กรรม
พ.ศ.2442 กระทรวงมหาดไทย ประกาศใช้ข้อบังคับลักษณะการปกครองหัวเมือง ให้ยุบเลิกตำแหน่งเจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ ราชบุตร และกรมการเมืองแบบเก่าให้เป็น ผู้ว่าราชการเมือง ปลัดเมือง ศษลเมือง แทนพ.ศ. 2450 ยุบเมืองท่าอุเทน เป็นอำเภอท่าอุเทน ขึ้นกับเมืองนครพนมและแต่งตั้งให้ขุนศุภกิจ จำนงค์ (จันทิมา พลเดชา) ข้าหลวงประจำเมือง เป็นนายอำเภอคนแรก