นักปราชญ์ทางวิชาประวัติศาสตร์ทั้งหลาย ได้ลงความเห็นว่า ในพิภพนี้มีมนุษย์เกิดขึ้นเป็นเวลาประมาณแสนปีมาแล้ว และคาดคะเนว่าดินแดนอันเป็นที่กำเนิดของมนุษย์ดั้งเดิมนั้นอยู่ใจกลางชมพูทวีป แถวภูเขาอันไต อันเป็นดินแดนภาคใต้ของมองโกลในปัจจุบันนี้ มนุษย์ที่เกิดจากใจกลางชมพูทวีปมีหลายชนชาติ แต่ชนชาติใหญ่ๆที่ตั้งหลักฐาน หากินอยู่ในด้านอาชีพนี้ ๔ ชนชาติ คือ
๑. ชนชาติจีน อาศัยอยู่ในดินแดนรอบๆทะเลสาปแคสเปียน ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ หากินด้วยการเลี้ยงสัตว์
๒. ชนชาติตาด อาศัยอยู่ในดินแดนตามเลียบทะเลทราย ใช้ม้าเป็นพาหนะหากินด้วยการปล้น
๓. ชนชาติชะนงยู้ อาศัยอยู่ในดินแดนประเทศกเว (เกาหลี) ตลอดถึงมองโกลหากินด้วยการปล้น
๔. ชนชาติอ้ายลาว อาศัยอยู่ในดินแดนระหว่างแม่น้ำฮวงโห กับแม่น้ำยั้งจี้ (แยงชีเกียง) หากินด้วยการกสิกรรม
ชนชาติภูไท หรือ ผู้ไทย เป็นชนชาติหนึ่งที่ตั้งหลักฐานบ้านเรือนปะปนอาศัยอยู่รวมกับกลุ่มคนชนชาติต่างๆ ในอดีต คือ จีน ลาว พวน ไท ญ้อ ภูไท ฯลฯ มีนิสัยส่วนตัวรักความสงบ อยู่กันอย่างสันติ มีความรักหวงแหนในเผ่าพันธุ์ มีขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม การแต่งกาย ดนตรี ความเชื่อและภาษพูดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง ดังนั้นจึงมีการหลอมรวมขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน รวมกลุ่มเรียกตนเองเป็นกลุ่มชนชาติอ้ายลาวในอดีตนั่นเอง
ปัจจุบันนี้ คนชนชาติภูไทหรือผู้ไทย มีอาศัยตั้งบ้านเรือนอยู่ในประเทศจีน ลาว พม่า เวียตนาม และไทย เป็นจำนวนมาก ยังคงรักษาขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม ความเชื่อเกี่ยวกับการนับถือผีและเคารพวิญญานบรรพบุรุษ การแต่งกาย ดนตรี และภาษาพูด ไว้เช่นในอดีตอย่างเดียวกัน กำเนิดคำว่า ภูไท หรือ ผู้ไทย หรือ คนไต ทั้ง ๓ คำนี้ เป็นคำที่มีความหมายเดียวกันเป็นคำที่ใช้เรียกคนชนชาติเดียวกัน
หนังสือนิทานขุนบรมราชาธิราชกล่าวไว้ว่า คนชาติภูไทนี้ เกิดจากน้ำเต้าใหญ่ ๒ หน่วย และมีนักปราชญ์หลายท่านให้ความเห็นไว้ว่า คำว่า ภูไท หรือ ผู้ไทย หรือ คนไต เป็นคำที่มีความหมายเดียวกับคำว่าเทียน แถน ไท้ ซึ่งหมายถึง ฟ้า หรือ ดวงดาว คนชนชาตินี้ รักความอิสระ ชอบอาศัยอยู่ในที่สูง คือภูเขา มีความเจริญรุ่งเรืองมากกว่ากลุ่มชนชาติใดๆ มีความเชื่อในการนับถือลัทธิผีฟ้า และเคารพวิญญาณบรรพบุรุษ
ชนชาติภูไท หรือ ผู้ไทย ได้ตั้งหลักฐานบ้านเรือนอยู่ในดินแดนอ้ายลาว รวมกลุ่มอยู่กับชนชาติต่างๆ อยู่ในประเทศจีนหรือมณฑลเสสวนทุกวันนี้ มีเมืองใหญ่ ๓ เมือง คือ
๑. เมืองลุง (นครลุง) อยู่ตอนต้นของแม่น้ำฮวงโหด้านเหนือ
๒. เมืองปา (นครปา) อยู่ตอนใต้แม่น้ำฮวงโห เหนือเมืองเสสวน ซึ่งเป็นเมืองใหญ่และมีความเจริญรุ่งเรืองมากในอดีต
๓. เมืองเงี้ยว(นครเงี้ยว) อยู่ทางใต้ของเมืองลุงและเมืองปา
พงศาวดารจีน บันทึกไว้ว่า เมื่อประมาณ (ก่อน ค.ศ.๘๔๓) พวกชนชาติตาด ได้เข้ามารบชนชาติจีน แล้วล่วงเลยเข้ามารบพวกชนชาติอ้ายลาวที่เมืองลุง ชนชาติอ้ายลาวที่รักสันติ รักความสงบ จึงอพยพหนีลงมาอยู่ที่เมืองปา ต่อมาอีกประมาณ ๗๐ ปี พวกจีนมีกำลังมากขึ้นจึงยกทัพมารบนครปาและนครเงี้ยว ชนชาติอ้ายลาวจึงอพยพลงมาอยู่ทางใต้ของเมืองเสฉวน ตลอดลงมาถึงเมืองกุยจิว กวางตุ้ง กวางใส และเมืองยูนาน เป็นอันมาก (เวลานั้นพวกจีนเรียกพวกอ้ายลาวว่า ไต ) แต่ชนชาติอ้ายลาวก็ยังคงรักษาเอกราชเมืองปาและเมืองเงี้ยวไว้ได้
ปี พ.ศ.๒๐๕ (ก่อน ค.ศ.๓๓๘) พวกอ้ายลาวที่นครปาถูกจีนรุกรานสู้ไม่ได้ จึงได้ถอยลงมารวมกับพวกที่มาก่อนที่นครเงี้ยว และในปี พ.ศ.๒๙๗(ก่อน ค.ศ.๒๔๖) พระเจ้าแผ่นดินจีนนามว่า จิ๋นซีฮ่องเต้ ผู้สร้างกำแพงเมืองจีนยาว ๑,๐๐๐ ลี้ (๑ ลี้ เท่ากับ ๕๐๐ เมตร) ได้ยกทัพมาตีนครเงี้ยวของอ้ายลาวหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ และได้รบติดพันกันมาถึงปี พ.ศ.๓๒๘ (ก่อน ค.ศ.๒๑๕) นครเงี้ยวจึงได้เสียเมืองให้แก่จีน พวกอ้ายลาวจึงได้อพยพลงมาทางใต้ และได้รวมกันตั้งเมืองหลวงขึ้นใหม่ชื่อ นครเพงาย มีขุนเม้า(ขุนเมือง) เป็นกษัตริย์ พระเจ้าแผ่นดินจีนนามว่า วู้ตี้ฮ่องเต้ ได้แต่งทูตไปศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย ทูตจีนคณะนั้นจะเดินทางผ่านนครเพงาย เจ้าขุนเม้าไม่ยอมให้ผ่านไป พระเจ้าวู้ตี้ฮ่องเต้ ไม่พอใจมากจึงยกกองทัพมาตีนครเพงาย อยู่หลายปี สุดท้ายนครเพงายได้ตกเป็นเมืองขึ้นของจีนในปี พ.ศ.๔๕๖
ปี พ.ศ.๕๕๒ (ค.ศ.๙) ประเทศจีนเกิดการวุ่นวาย ขุนวังเมืองกษัตริย์ผู้สืบสกุลเมืองนครเพงาย เห็นเป็นโอกาสดี จึงประกาศอิสระภาพไม่ยอมเป็นเมืองขึ้นของจีน และได้ครองเมืองเป็นเอกราชต่อมาถึงปี พ.ศ.๕๙๓ (ค.ศ.๕๐) จีนได้เข้ารุกรานและได้ตกเป็นเมืองขึ้นของจีนอีกครั้ง ในระหว่างนี้ พวกอ้ายลาวได้แบ่งออกเป็น ๒ พวก คือ
๑. พวกที่อยู่นครเพงาย เรียกตนเองว่าพวกอ้ายลาว
๒. พวกที่อพยพหนีลงมาทางใต้เรื่อยๆ เรียกตนเองว่าพวกงายลาว
พ.ศ.๖๐๐ เศษ (ค.ศ.๕๗) พระเจ้ามิ่งตี้ฮ่องเต้ พระเจ้าแผ่นดินจีนมีความเลื่อมใสศรัทธาและได้นำเอาพระพุทธศาสนาเข้ามาสู่ประเทศจีน ในสมัยนั้นพระเจ้าแผ่นดินของอ้ายลาว คือ ขุนหลวงลี้เมาอยู่นครงายลาว ก็ได้นับถือพระพุทธศาสนา ในปี พ.ศ.๖๑๒ แต่เป็นฝ่ายลัทธิมหายาน ถึงปี พ.ศ.๖๒๑(ค.ศ.๗๘) ขุนไลลาด ราชโอรสได้ครองเมืองแทน เวลานั้นพวกจีนถือว่า นครงายลาวเป็นเมืองขึ้นของจีน จึงได้ส่งขุนนางมากำกับดูแล ขุนไลลาดไม่ยอมพวกจีนจึงยกกองทัพมาตีนครงายลาว พวกอ้ายลาวจึงตกเป็นเมืองขึ้นของจีนและจีนได้บังคับให้พวกอ้ายลาวเสียส่วย ชายหนุ่มคนหนึ่งให้เสียส่วย เสื้อสองตัวกับเกลือห่อหนึ่ง ตั้งแต่นั้นมาพวกอ้ายลาวจึงพากันอพยพลงมาทางใต้เรื่อยๆ และได้มาตั้งหลักฐานบ้านเรือนอยู่รอบๆ หนองแส หรือ หนองกะแสแสนย่าน (ปัจจุบันจีนเรียกว่า ตาลิฟู) อยู่ในเขตแขวงมณฑลยูนานของจีนทุกวันนี้ พอดีในช่วงนั้น พวกจีนได้เกิดแตกแยกกันออกเป็นสามพวก (สามก๊ก) คือ โจโฉพวกหนึ่ง เล่าปี่พวกหนึ่ง ซุ่นกวนพวกหนึ่ง อาศัยที่พวกจีนแตกแยกต่อสู้กันเองอยู่นั้น พวกอ้ายลาวจึงได้โอกาสตั้งตัว และสร้างเมืองใหญ่ขึ้นได้รวม ๖ เมือง คือ
๑. เมืองสุย (เมืองมงชุ่ย)
๒. เมืองเอ้ยเช้ (เมืองเอ้ยเช้)
๓. เมืองล้านกุง (เมืองล้างกง)
๔. เมืองท่งช้าง (เมืองเท้งเชี้ยง)
๕. เมืองเชียงล้าน (เมืองชีล้าง)
๖. เมืองหนองแสน (เมืองม้งเส)
เมืองหนองแส เป็นเมืองใหญ่และเป็นเมืองหลวงของประเทศ จึงเรียกนามของประเทศในเวลานั้นว่า อาณาจักรหนองแส หรือ น่านเจ้า พวกอ้ายลาวได้ตั้งตัวเป็นเอกราชปกครองบ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองต่อมากว่า ๑๐๐ ปี
ถึง พ.ศ.๗๖๘ (ค.ศ.๒๒๕) ขงเบ้ง แม่ทัพคนสำคัญของเล่าปี่ ได้ยกกองทัพมาตีอาณาจักรหนองแส หรือน่านเจ้าอยู่หลายปี สุดท้ายพวกอ้ายลาวต้องยอมเป็นเมืองขึ้นของจีนอีกครั้ง พวกอ้ายลาวถูกพวกจีนเบียดเบียนกดขี่ข่มเหงอยู่เสมอ พวกอ้ายลาวบางส่วนจึงอพยพลงมาทางใต้เรื่อยๆ ถึง พ.ศ.๙๓๘ (ค.ศ.๓๙๕) พวกอ้ายลาวทั้ง ๖ เมืองเดิมได้ตั้งตัวเป็นอิสระอีกครั้งและปกครองกันเอง ต่อมาถึง พ.ศ.๑๑๙๒ (ค.ศ.๖๔๙) กษัตริย์เมืองหนองแสองค์หนึ่ง พระนามว่า สีหะนะวะ หรือ สีนุโล (จีนเรียก ชิวโน้วหล้อได้รวบรวมเมืองทั้ง ๖ เป็นอาณาหนองแส หรือน่านเจ้าอีกครั้ง ตั้งแต่นั้นมา
อาณาจักรหนองแสหรือน่านเจ้าจึงกลับมีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งใหญ่และขยายอาณาเขตกว้างขวางขึ้น พระเจ้าแผ่นดินนครหนองแส จึงได้ส่งราชทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับพระเจ้าแผ่นดินจีน นามว่า เกาจงฮ่องเต้ ก็ทรงต้อนรับเป็นอย่างดี ต่อมาถึง พ.ศ.๑๒๒๘ (ค.ศ.๖๘๕) พระเจ้าโลเช้ง ราชโอรสเมืองหนองแส ได้ขึ้นเสวยราชพระองค์ก็ได้เจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศจีนเรื่อยมา คือ ในปี พ.ศ.๑๒๓๓ (ค.ศ.๖๙๐) พระองค์ได้เสด็จไปประเทศจีนในงานราชาภิเษก พระนางบูเช็กเทียน หลังพระเจ้าโลเช้งสิ้นพระชนม์ได้มีกษัตริย์ปกครองต่อมาอีกสามพระองค์ จึงมาถึง พระเจ้าพิล้อโก้ หรือ ขุนบรมราชาธิราช เป็นกษัตริย์อาณาจักรหนองแส หรือน่านเจ้า ผู้กล้าหาญ ทรงชำนาญในการสงครามอย่างเยี่ยมยอดยิ่ง ได้ทรงแผ่ขยายอาณาจักรหนองแส หรือน่านเจ้า ให้กว้างขวางมากที่สุด พระองค์ได้ขึ้นเสวยราชสมบัตินครหนองแส พ.ศ.๑๒๗๒ (ค.ศ.๗๒๙) เมื่อพระชนม์ได้ ๓๒ ปี และได้ส่งราชทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับพระเจ้าแผ่นดินจีน คือ หงวนจงเพ้งฮ่องเต้ ทรงได้รับการต้อนรับเป็นอย่างขุนบรมราชาธิราช พระเจ้าแผ่นดินหนองแส หรือ จีนเรียกว่า น่านเจ้าอ๋อง ประทับอยู่เมืองหนองแส ทรงพิจารณาเห็นว่า ประเทศจีนก็มีกำลังเข้มแข็งและเคยยกกองทัพมาตีเมืองหนองแสอยู่เสมอในอดีต ถึงแม้นพระองค์จะได้เจริญสัมพันธไมตรีไว้แล้วก็ยังไม่มีความเชื่อใจได้ ดังนั้น ในปี พ.ศ.๑๒๒๗(ค.ศ.๗๓๑) พระองค์จึงได้ลงมาสร้างเมืองใหม่ที่ ทุ่งนาน้อยอ้อยหนู และตั้งชื่อเมืองใหม่นี้ว่า เมืองแถน หรือ เมืองกาหลง และพระองค์ก็ทรงประทับที่ เมืองแถน หรือเมืองกาหลงนี้ถึง ๘ ปี
ในระหว่างที่ประทับนั้นพระองค์ได้ยกทัพขึ้นไปตีเอาหัวเมืองของประเทศจีนอันอยู่ในเขตแดนธิเบตได้หลายเมืองและพระองค์ได้สร้างเมืองใหม่ขึ้นอีกในดินแดนที่ตีเมืองได้ เรียกว่า เมืองตาห้อ หรือ หอแต เมืองนี้อยู่ห่างจากเมืองหนองแสไปทางเหนือ ๔๐ ลี้ แล้วพระองค์ก็เสด็จไปประทับที่เมืองตาห้อ ในปี พ.ศ.๑๒๘๓ (ค.ศ.๗๔๐) ขุนบรมราชาธิราช มีพระโอรสประสูติจาก พระนางยมพาลา เอกอัครมเหสี และพระนางเอ็ดแคง เทวีซ้าย ที่มีชื่ปรากฎ อยู่ จำนวน ๗ องค์ ในหนังสือล้านช้างกล่าวไว้ว่า พระราชโอรสของขุนบรมราชาธิราช เมื่อโตขึ้นได้ไปครองเมืองต่างๆ ดังนี้
๑. ขุนลอ ครองเมืองล้านช้าง
๒. ท้าวผาล้าน ครองเมืองตาห้อ หรือ หอแต
๓. ท้าวจูสง ครองเมืองจุลนี คือ เมืองแกว
๔. ท้าวคำผง ครองเมืองโยนก คือ ลานนา
๕. ท้าวอิน ครองเมืองล้านเพีย คือ อยุธยา
๖. ท้าวกม ครองเมืองหล้าคำม่วน
๗. ท้าวเจือง ครองเมืองปะกัน เชียงขวาง
ถึงปี พ.ศ.๑๒๘๖ (ค.ศ.๗๔๓) ขุนบรมราชาธิราช ได้ทรงแต่งราชทูตไปเจริญทางราชไมตรีกับพระเจ้าแผ่นดินจีน นามว่า พระเจ้าเฮี้ยนจงอิดฮ่องเต้ แล้วจึงเสด็จกลับมาเสวยราชสมบัติอยู่นครหนองแส ถึงปี พ.ศ.๑๒๙๒ (ค.ศ.๗๔๙) ก็เสด็จสวรรคต รวมพระชนม์ได้ ๕๓ ปี
ในพงศาวดารจีนชื่อ “ยี่จับสี่ซื้อ” กล่าวไว้ว่า เมื่อพระเจ้าพิล้อโก้ (ขุนบรมราชาธิราช) เสด็จสวรรคตแล้ว พระโอรสนามว่า โก้ะล้อผง( คือขุนลอ ) ซึ่งเวลานั้นประทับปกครองเมืองแถน หรือเมืองกาหลงอยู่ และได้เสด็จกลับนครหนองแสขึ้นครองราชสมบัติอาณาจักรหนองแส หรือน่านเจ้าแทนพระบิดาและได้แต่งราชทูตไปเจริญราชไมตรีกับพระเจ้าแผ่นดินจีนดั่งเดิม ต่อมาพระองค์เสด็จไปประพาสทางเขตแดนจีนถึงเมืองฮุนหนำ ข้าราชการจีนผู้รักษาเมืองไม่ทำความเคารพ พระองค์มีความขัดเคืองพระทัยมาก จึงได้ยกกองทัพไปตีเอาเขตแดนจีนได้หัวเมืองต่างๆในแขวงฮุนหนำถึง ๓๒ เมือง แล้วพระองค์ทรงประทับอยู่เมืองฮุนหนำถึง พ.ศ.๑๒๙๔ (ค.ศ.๗๕๑) พระเจ้าแผ่นดินจีนยกทัพหลวงมาจะตีเอาเมืองฮุนหนำคืน พระเจ้าโก้ะล้อผง หรือ ขุนลอ จึงแต่งทูตไปหาแม่ทัพจีนขอเป็นไมตรีและจะส่งเมืองคืนให้หลายเมือง แม่ทัพจีนไม่ยอมจับราชทูตไป ขังไว้ แล้วยกกองทัพเข้าตีเมืองฮุนหนำ พระเจ้าโก้ะล้อผง หรือ ขุนลอ ตีทัพจีนแตกคืนไปหมด แล้วพระองค์พิจารณาเห็นว่าพวกจีนคงจะยกกองทัพลงมารบอีก จึงได้ไปทำไมตรีไว้กับพระเจ้าแผ่นดินธิเบต ถึงปี พ.ศ.๑๒๙๗ (ค.ศ.๗๕๔) พวกจีนได้ยกกองทัพมาตีเมืองฮุนหนำอีกครั้ง ขุนลอได้สร้างกลศึกหลอกกองทัพจีนเข้าไปถึงเมืองตาห้อ หรือหอแต แล้วแต่งกองทัพมาสกัด ด่านไว้ กองทหารจีนขาดเสบียงอาหารและเกิดโรคอหิวาขึ้นในกองทัพ จึงพากันถอยหนี ขุนลอนำทหารตามตีฆ่าฟันทหารจีนตายลงเป็นจำนวนมาก
ราชอาณาจักรหนองแส หรือน่านเจ้า ได้รับความเจริญรุ่งเรืองและกว้างใหญ่ไพศาลมาตั้งแต่สมัยของ พระเจ้าสินุโล มีกษัตริย์ปกครองสืบต่อกันมาถึง ๑๓ องค์ คิดเป็นเวลานานถึง ๒๕๕ ปี
ต่อจากนั้นมาราชอาณาจักรหนองแส หรือน่านเจ้า ก็มีราชวงค์ที่มีเชื้อสายปะปนกับจีนปกครองบ้านเมือง ขนบ ธรรมเนียม ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม จึงได้หลอมรวม เปลี่ยนแปลงเข้าด้วยกัน มาถึงปี พ.ศ.๑๗๙๗(ค.ศ.๑๒๔๔) พวกมองโกล คือ พระเจ้าแผ่นดินจีนราชวงค์ หงวนตี้ ได้ปกครองเมืองจีนทั้งหมด แล้วแผ่ขยายอำนาจและอาณาเขตลงมาทางตะวันตกเฉียงใต้ และเข้าตีราชอาณาจักรหนองแส หรือน่านเจ้า ได้ ดังนั้น ราชอาณาจักรหนองแส หรือน่านเจ้า จึงหมดอิสระภาพตกเป็นประเทศราชของประเทศจีนตั้งแต่นั้นมา
กลุ่มชนชาติที่รักสงบ รักความเป็นอิสระ จึงได้อพยพลูกหลานลงมาทางใต้เรื่อยๆ ชนชาติภูไท หรือผู้ไทย ก็เป็นกลุ่มชนชาติหนึ่งที่อพยพลงมาในครั้งนั้น และได้ตั้งบ้านเรือนกระจัดกระจายอยู่เป็นหลายเมือง ทุกเมืองยังคงอนุรักษ์ สืบทอดขนบธรรมเนียม ประเพณี และศิลปวัฒนธรรมอันดีงามไว้อย่างเหนียวแน่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว