การแต่งงาน – กินดอง

 

การแต่งงาน   พื้นเมืองนครพนมเรียกพิธีแต่งงานว่า   กินดอง   หมายถึงการทำพิธีเกี่ยวดองเป็นวงศาคณาญาติกันระหว่างฝ่ายชายกับฝ่ายหญิงที่สมัครรักใคร่เป็นผัวเป็นเมียกันเริ่มแต่การสู่ขอ   เตรียมงาน   งานพิธีสมรส   และการครองเรือนเป็นที่สุด

การสู่ขอ   เรียกว่า   ขอเมีย   เมื่อชายหญิงรักใคร่ตกลงปลงใจที่จะร่วมทุกข์สุขเป็นสามีภรรยากันแล้ว   ฝ่ายชายจะบอกเล่าพ่อแม่ให้จัดญาติผู้ใหญ่เป็นเฒ่าแก่และผู้รู้ขนบธรรมเนียมดีคนหนึ่งเป็นพ่อล่าม   (พ่อสื่อ)   ถือดอกไม้ธูปเทียนไปร้องขอต่อพ่อแม่ฝ่ายหญิง   ซึ่งนัดวันและนัดญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงไว้ที่บ้านแล้ว   เพื่อว่ากล่าวให้ทราบความประสงค์ที่จะรวมเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้วญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงจะให้ถามผู้หญิงว่ารักใคร่เต็มใจจริงหรือไม่   ตกลงกันอย่างไร   และถามพ่อแม่หญิงว่า   เห็นชอบและยินยอมด้วยหรือไม่   มีข้อแม้หรือเรียกร้องอย่างไร   แล้วต่อรองกันในข้อต่าง ๆ ให้เป็นที่พอใจกันทั้งสองฝ่ายถ้าตกลงกันได้ก็ปรึกษาหารือกันต่อไปในเรื่อง   ค่าดอง   (สินสอด)   ของหมั้น   การเลี้ยงดูแขกและหาฤกษ์หาวันที่จะประกอบพิธีแต่งงานกันเลย   ตลอดจนการตกลงกันด้วยว่า   แต่งงานแล้วจะให้ฝ่ายใดไปอยู่กับฝ่ายใด    เพื่อจะจัดทำพิธีให้ถูกต้อง

การหมั้น   ถ้าตกลงวันแต่งงานเนิ่นนานออกไป   เพื่อความมั่นใจในระหว่างชายหญิง   ชายต้องหาของหมั้นมาวางประกันไว้จะเป็นทองรูปพรรณหรือเงินตามจำนวนที่ตกลงกันก็ได้การเลี้ยงดูแขกจะแยกกันเลี้ยงคนละฝ่ายหรือจะเลี้ยงรวมกันจะให้ฝ่ายใด เลี้ยงฝ่ายใดออกทรัพย์ให้หญิงจัดการเลี้ยงหรือว่าต่างเลี้ยงแขกที่ตนเชิญแยกกัน

วันแต่งงาน   คือวันใดวันหนึ่งในเดือนคู่ข้างขึ้น   คือ   วันขึ้น 2 , 4    หรือ 6   ค่ำ เดือนยี่   4   6   และ   12   เว้นเดือนในระหว่างเข้าพรรษาเมื่อสู่ขอตกลงกันแล้ว   ต่างฝ่ายต่างก็เตรียมสิ่งของเครื่องใช้เครื่องอุปกรณ์ต่าง ๆ   ในอันที่จะประกอบพิธีแต่งงานต่อไป   คือฝ่ายชายเตรียมสินสอดและอาหารการกิน   หญิงเตรียมเครื่องเรือนและเครื่องนอน   กับต่างฝ่ายต่างเตรียมบ้านเรือนจัดทำความสะอาด    ทำพิธี   ถ้าชายไปอยู่บ้านหญิงเรียกว่า   ดองสู่   ทำพิธีแต่งงานที่บ้านหญิงถ้าเป็น   ดองต้าน   คือหญิงไปอยู่กับชาย   ทำพิธีที่บ้านหญิงก่อนแล้วไปทำพิธีที่บ้านชายอีกครั้งหนึ่ง

พิธีแต่งงาน   มีการกระทำได้แก่   การแห่เขยหรือสะใภ้   การสู่ขวัญและการสัมมาคารวะรับคำให้พรจากเฒ่าแก่และญาติผู้ใหญ่   มีพาขวัญขันหมากสินสอดไปด้วย   พวกขับลำสนุกไปข้างหน้า   ต่อมาเป็นเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าสาว   ถัดไปเป็นพาขวัญเครื่องบริวาร   และติดตามด้วยญาติพี่น้องเฒ่าแก่   และพ่อล่ามเป็นผู้ควบคุมขบวนไปด้วย   เมื่อถึงประตูบ้านเจ้าสาวญาติฝ่ายหญิงจะปิดประตูบ้านไม่ยอมให้เข้า   มีการสอบถามกันเป็นธรรมเนียมว่า   มาอะไรอย่างไรก่อน   ฝ่ายเจ้าบ่าวก็ตอบไปตามธรรมเนียม   เมื่อได้คำตอบดีและหยอกล้อกันบ้างแล้ว   ฝ่ายหญิงจะเปิดประตูยอมให้ฝ่ายชายเข้าไป   ในการนี้ชายต้องให้รางวัลแก่ฝ่ายหญิงด้วย   ก่อนจะขึ้นเรือนต้องล้างเท้าเจ้าบ่าวบนในตอบกล้วยตีบและแผ่นหิน (คือเคล็ดให้ชายให้มีใจหนักแน่นเหมือนแผ่นศิลาและให้ความสนิทเสน่หากัน   เหมือนผลกล้วยตีบ   ซึ่งชิดกันมาก)   แล้วญาติผู้หญิงที่มีประวัติในการครองเรือนดี   มารับจูงมือเขยขึ้นบ้านนำไปนั่งรอที่พาขวัญของตน   ซึ่งตั้งเคียงคู่กับของหญิงท่ามกลางญาติพี่น้องมิตรสหาย   ระหว่างนี้เฒ่าแก่และพ่อแม่จะนำขันหมากไปมอบแก่เฒ่าแก่ของหญิง   เมื่อตรวจดูสินสอดครบถูกต้องแล้ว   ก็นำเจ้าสาวมาเข้าพาขวัญพร้อมพ่อแม่   นั่งทางซ้ายของเจ้าบ่าว   ต่อจากนี้ก็ทำพิธีสู่ขวัญแต่งงานตามที่กล่าว   ในประเพณีสู่ขวัญแล้วมีการป้อนไข่   คือไข่ต้มจากพาขวัญมาปอกแบ่งครึ่งให้บ่าวสาวกินคนละครึ่งใบ   โดยใช้มือขวาป้อนไข่ท้าว   มือซ้ายป้อนไข่นาง   ต่อจากนี้บ่าวสาวนำขันดอกไม้   ธูปเทียน   ไปกราบไหว้   ขอสมาคารวะพ่อแม่   ญาติแขกผู้ใหญ่ที่มาเป็นสักขีพยานในงาน   แนะนำสั่งสอนการครองเรือนครองรัก   ปกป้องและถนอมน้ำใจกัน   พร้อมกับอวยพรให้มีความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป

การกินเลี้ยง   กันเป็นงานใหญ่   ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายที่มาในงานเรียกว่า   เจ้าโคตรลุงตา   หรือ   ลุงตาพาเข้า   จะได้รับการเลี้ยงดูให้ทั่วถึงและเป็นพิเศษ   เสร็จจากการกินเลี้ยงแล้วถ้าเป็น   ดองสู่   (วิวาหมงคล)   ก็นับว่าเสร็จเรียบร้อยรอแต่การส่งตัวในตอนค่ำอีกเท่านั้น   แต่ถ้าเป็น   ดองต้าน   (อาวาหมงคล)   ก็มีการแห่เจ้าสาวไปบ้านฝ่ายชายทำพิธีสู่ขวัญอีกครั้งหนึ่งเหมือนตอนสู่ขวัญเจ้าบ่าว   การสู่ขวัญนี้ถ้าทำที่บ้านคู่สมรสจะอยู่กินต่อไปแล้ว   บางท้องที่นิยมทำกันในห้องนอนและบนที่นอนของคู่สมรสที่ผู้ใหญ่ซึ่งมีประวัติในการครองเรือนดี   ไม่มีการทะเลาะวิวาทบาดหมางกันเลยเป็นผู้ปูลาดให้   ส่วนการส่งตัวนั้นทำในตอนค่ำมีพ่อล่ามและญาติมิตรสนิท   3-4   คนนำไปส่งมอบให้เป็นการเงียบ ๆ   เจ้าบ่าว   เจ้าสาว   ต้องร่วมบริโภคอาหารกันเป็นมื้อแรกถือว่าเป็นบุคคลในครอบครัวแล้ว