ที่ตั้ง อยู่ที่วัดโอกาสศรีบัวบาน อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม
ประวัติความเป็นมา
ตามตำนานกล่าวว่า ในสมัยโคตรบูรณ์มีราชธานีตั้งอยู่สองฝั่งแม่น้ำโขงระหว่างเทือกเขาหินบูน (ประเทศลาว) และเทือกเขาภูพาน มีเจ้าผู้ครองนคร พระนามว่า พระเจ้าศรีโคตรบูรณ์หลวง
การคมนาคมสมัยนั้น ทางน้ำจะใช้เรือหรือแพเป็นยานพาหนะ พระเจ้าศรีโคตรบูรณ์หลวง จึงสั่งให้นายช่างชาวบ้านกองลอ (อยู่ในประเทศลาว) ไปหาไม้มาขุดทำเรือช่างทำเรือจากบ้านกองลอก็ได้ข้ามแม่น้ำโขงมาหาไม้ในดงเซกา (ปัจจุบันคือบ้านนากลาง ตำบลนาทราย) ได้ไม้ตะเคียนจึงขุดทำเรือแล้วเตรียมชักลากลงสู่ฝั่งแม่น้ำโขง การชักลากในสมัยนั้นต้องใช้ไม้หมอนกลมตัดเป็นท่อน ๆ เป็นลูกล้อหมุนท้องเรือแล้วทำการลากเรือนั้นมีไม้ท่อนหนึ่งกระเด็นออกมาข้างนอกไม่ยอมให้เรือทับ เมื่อนำกลับเข้าไปรองใหม่ก็กระเด็นออกมาอีกถูกพวกชักลากเรือเจ็บไปตาม ๆ กัน ช่างทำเรือเห็นว่าไม้ท่อนนั้นเป็นไม้น่าอัศจรรย์ จึงได้กราบทูลเรื่องราวให้พระเจ้าโคตรบูรณ์หลวงทรงทราบ
พระเจ้าศรีโคตรบูรณ์หลวงทรงพิจารณาเห็นว่า ไม้ท่อนนี้เป็นพญาไม้ ถึงไม่ยอมให้เรือทับ พระองค์จึงโปรดให้นายช่างนำไปแกะเป็นรูปพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 30 เซนติเมตร สูง 60 เซนติเมตร แล้วลงรักปิดทอง เมื่อจุลศักราชได้ 147 ตัว ปีไก้ ซึ่งตรงกับวันอังคาร เดือน 7 แรม 8 ค่ำ ปีกุน พ.ศ. 1328 โปรดให้มีพิธีสมโภชเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของนครศรีโคตรบูรณ์
ต่อมาในสมัยพระเจ้าขัตติวงศาบุตรมหาฤาชัยไตรทศฤาเดชเชษฐบุรี ศรีโคตรบูรณ์หลวงเป็นเจ้าผู้ครองนครศรีโคตรบูรณ์ขณะนั้น พระติ้วประดิษฐานอยู่ที่วัดธาตุ บ้านสำราญ ได้เกิดเพลิงไหม้ หอพระแลวิหาร ชาวบ้านไม่สามารถนำพระติ้วออกมาได้ จึงกราบทูลให้พระเจ้าขัตติวงศาทราบ พระองค์มีรับสั่งให้หาไม้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ประชาชนเคารพนับถือมาแกะเป็นองค์พระแทนองค์เดิม ชาวบ้านจึงหาไม้ได้ที่ดอนหอเจ้าปู่ตา ให้ช่างแกะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดเท่าองค์เดิมลงรักปิดทอง แล้วสมโภชเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองแทนพระติ้วที่เข้าใจว่าถูกไฟไหม้ไปแล้ว
หลังจากนั้น 2 – 3 ปีต่อมา ชาวบ้านสำราญจำนวนหนึ่งไปหาปลากลางแม่น้ำโขง บริเวณหัวดอน ขณะนั้นมีลมบ้าหมู (ลมหมุน) เกิดขึ้นกลางแม่น้ำโขง จึงนำเรือไปหลบที่ดอนเฝ้าดูเหตุการณ์ เห็นวัตถุหนึ่งลอยหมุนวนในน้ำที่ถูกลมบ้าหมูพัด พอลมสงบจึงพากันออกเรือไปดูพบว่าวัตถุนั้นคือ พระติ้วองค์ก่อนั่นเอง พวกชาวบ้านต่างยินดีเป็นอย่างยิ่งจึงอัญเชิญพระติ้วไปทูลเกล้าถวายพระเจ้าขัตติยวงศา พระองค์ทรงปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง มีพระราชศรัทธาประทานทองคำหนัก 30 บาท ให้ช่างบุทองทั่วทั้งองค์พระและประทานนามพระองค์เดิมว่า พระติ้ว ประทานนามที่สร้างใหม่ว่า พระเทียม พระติ้วและพระเทียมจึงเป็นพระคู่เมืองของศรีโคตรบูรณ์ตลอดมา
ตลอดมาพระบรมราชพรหมา ได้เป็นเจ้าผู้ครองเมืองนครศรีโคตรบูรณ์มีพระราชศรัทธาบูรณปฏิสังขรณ์สำนักสงฆ์วัดศรีบัวบาน และได้อัญเชิญพระติ้ว พระเทียม ซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ จากบ้านสำราญ มาประดิษฐานที่วัดศรีบัวบาน พ.ศ. 2281 แล้วให้ชาวบ้านสำราญ บ้านหนองจันทร์ บ้านเมืองเก่า บ้านดงหมู รวมทั้งบ้านนาเมือง บ้านม่วงสุ่ม แขวงคำม่วนในปัจจุบัน เป็นข้าโอกาสคอยปรนนิบัติ รักษาพระติ้ว พระเทียม พร้อมกับเปลี่ยนนามวัดศรีบัวบานเป็นวัดโอกาสจนถึงปัจจุบัน
พระติ้ว พระเทียม จึงประดิษฐานอยู่ที่วัดโอกาสตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ชาวนครพนมจะจัดสรงน้ำพระติ้ว พระเทียม ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 แรม 1 ค่ำ เดือน 6 เป็นประเพณีสืบมาทุกปี