จิตรกรรมฝาผนังวัดหัวเวียงรังสี


จิตรกรรมฝาผนังวัดหัวเวียงรังสี

จิตรกรรมฝาผนังวัดหัวเวียงรังสี
                        สิมวัดหัวเวียงรังษี   มีรูปทรงแบบสิมริมแม่น้ำโขง   ภาพแต้มปรากฏอยู่ภายในสิมและภายนอกสิมบางแห่งภาพภายนอกลบเลือนเป็นจำนวนมาก   ภายในเป็นเรื่องพุทธประวัติ   ทศชาติ   รามเกียรติ์   ลักษณะวงศ์เทพ   สัตว์หิมพานต์   และพระพุทธรูปปางต่าง ๆ   วาดขึ้นในราว ๆ   พ.ศ. 2464   ให้เวลาวาดอยู่   2   ปี   ช่างแต้มคือ   หลวงชาญอักษร   (ชาญเทพคแหง)   จารย์คูณ   และจารย์ลี
                        งานจิตรกรรมของวัดหัวเวียงรังษี   มีรายละเอียดดังนี้   ลักษณะจิตรกรรมเป็นจิตรกรมมสกุลช่างหลวง   แต่เขียนตามความนิยมในท้องถิ่น   สีที่ใช้เป็นสีฝุ่นมีวรรณะเย็น   ได้แก   สีคราม   เขียม   น้ำตาล   และดำ   ในการเขียนภาพนั้น   ช่างจะใช้สีขาวรองพื้นก่อน   แล้วร่างภาพด้วยดินสอจากนั้นจึงลงสีที่ตัวภาพ   โดยใช้ลายเส้นตัดขอบและเขียนเน้นลงลายต่าง ๆ   ของภาพเครื่องแต่งกาย   อาวุธ   เครื่องใช้   และสิ่งของอื่น ๆ   แต่บางภาพก็เขียนเป็นลายเส้นโดยไม่ได้ลงสี
                        องค์ประกอบภาพที่ปรากฏเป็นบุคคลสำคัญจากพุทธประวัติ   อาคารบ้านเรือน   ต้นไม้   ภูเขาจะลอนเด่นจากพื้นผนัง   ช่างแต้มจะไม่ทำการล้วงพื้นภาพจุดเดียวกับภาพแต้ม   ที่ปรากฏพบเห็นกันโดยทั่วไป   ช่างแต้มมีความชำนาญเป็นพิเศษในการเขียนเส้นมุ่งแสดง   เพื่อก่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกด้วยความประณีตละเอียดอ่อน   เป็นเส้นที่มีขนาดเล็กมาก   แต่สะท้อนออกมาให้เห็นว่ามีความเด็ดเดี่ยว   เฉียบขาด   บรรยากาศของภาพส่วนรวม   มองดูคล้ายกับเป็นงานวาดเส้น   (Drawing)   แทนที่จะเป็นงานจิตรกรรมที่ซึ่งช่างแต้ม   จะสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกออกมาด้วยสี
                        สีที่เห็นเด่นเป็นพิเศษและมีอาณาบริเวณของพื้นที่มากกว่าสีอื่นใดก็คือ   สีครามเข้มสดใสมองเห็นเนื้อของสีครามแท้ ๆ   มีน้ำหนักเข้มมิได้เจือด้วยสีขาวหรือสีอื่นใด
                        ช่างแต้มจะใช้สีครามเข้มล้วงพื้นที่   เพื่อจะขับตัวภาพบุคคลให้ลอยเด่นออกมาจากฉากหลังเฉพาะบางส่วน   หรือใช้เป็นสีของเครื่องแต่งกาย   เช่น   สีกางเกงของทหาร
                        สีเขียวเป็นสีที่ใช้ในอันดับรอง   ปรากฏให้เห็นในส่วนของผ้าม่าน   ใบไม้   ฝีแปรงการแตะแต้มใบไม้เป็นกรรมวิธีที่ต่างไปจากการตัดเส้นในส่วนที่เป็นภาพของตัวละคร   หรืออาคารบ้านเรือน   อาจกล่าวได้ว่าเป็นรสคนละรส   เพราะใช้เทคนิคและกรรมวิธีต่างรูปแบบ   หากเปรียบกับการฟังดนตรีก็จะเป็นเครื่องดนตรีต่างชนิดกัน   แต่นำมาบรรเลงในกลุ่มเดียวกัน   เสียงที่สะท้อนออกมาก็ผสมผสานกลมกลืนกันด้วยดี   เป็นความไพเราะที่มีความหลากรส
                        ส่วนการเขียนภาพสถาปัตยกรรมเช่น   ปราสาท   ซุ้มประตูบ้านเรือน   ศาลา    และราชรถ   มีลักษณะสวยงาม   เขียนลวดลายละเอียด, การเขียนภาพจับ   ภาพรบและภาพเรื่องทศชาติมีลักษณะเดียวกันแบบประเพณีที่นิยมเขียนกันในภาคกลาง   แม้ในส่วนละเอียดต่าง ๆ   เช่น   ภาพสัตว์ต่าง ๆ   และสัตว์หิมพานต์ก็ไม่ได้เขียนตามแบบที่นิยมกันในภาคอีสาน   กลับเป็นแบบสกุลช่างหลวงทางภาคกลางทั้งสิ้น   แต่การวางองค์ประกอบภาพมีช่องไฟมาก   เป็นผนังว่าง ๆ   สีขาวทำให้ดูโปร่งและเบา   ซึ่งเป็นลักษณะของงานช่างพื้นบ้าน   เช่น   ช่องไฟที่เป็นท้องฟ้ามากมีก้อนเมฆเรียงกันเป็นแถว    ปลายเมฆปลิวแบบเมฆไหลหรือภาพดอกไม้ร่วง   เป็นต้น
                        งานจิตรกรรมแห่งนี้จึงงดงามน่าสนใจมาก   ให้ความรู้ทั้งทางงานช่างหลวง และช่างพื้นบ้านเป็นหลักฐานของศิลปกรรมที่สำคัญมากแห่งหนึ่ง